แนวทางการลงโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีการกระทำความผิดเล็กน้อย

แนวทางการลงโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีการกระทำความผิดเล็กน้อย
หลักการ
การดำเนินการทางวินัยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นไปโดยถูกต้องเหมาะสมตามกระบวนการทางนิติธรรม โดยการดำเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และขั้นตอนการดำเนินงานปฏิบัติตามกฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. 2550

การดำเนินการทางวินัย การลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องเป็นไปโดยความถูกต้องเหมาะสมและเป็นธรรม  โดยคำสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นคำสั่งทางปกครอง การดำเนินการทางวินัยรวมถึงขั้นตอนต่างๆในการดำเนินการการใช้ดุลยพินิจผู้บังคับบัญชาในการกำหนดโทษทางวินัยจะต้องเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย และต้องมีการคำนึงถึงความชอบด้วยกฎหมาย

กรณีผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจลงโทษทางวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทำความผิดเล็กน้อย อันเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง ต้องพิจารณาตามกระบวนการขั้นตอน การใช้ดุลยพินิจ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ตามระเบียบวิธีปฏิบัติที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ กลุ่มกฎหมายและคดี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จึงจัดทำเอกสารเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและเป็นประโยชน์กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการทางวินัย กรณีการกระทำความผิดเล็กน้อย รายละเอียดตามเอกสารนี้

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการปฏิบัติงานการดำเนินการทางวินัยของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ
  2. เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการใช้ดุลยพินิจพิจารณาลงโทษทางวินัย
  3. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
  4. สาระสำคัญ

ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 96 ได้มีการกำหนดโทษทางวินัยของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อใช้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิดทางวินัย

ในกรณีต่างๆตามที่ระเบียบกฎหมายกำหนดไว้โดยมีการแบ่งโทษทางวินัยออกเป็น  2 ประเภทใหญ่ๆ คือ โทษทางวินัยประเภทร้ายแรงและโทษทางวินัยประเภทไม่ร้ายแรง และตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวยังได้มีการกำหนดโทษทางวินัยแบ่งย่อยๆเพื่อให้เหมาะสมกับความผิดและการลงโทษที่เหมาะสม โดยกำหนดโทษทางวินัยออกเป็น 5 สถาน ดังนี้

1) ภาคทัณฑ์ เป็นการลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้กระทำความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง การกระทำความผิดวินัยที่เป็นความผิดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดวินัยดังกล่าวอันมีเหตุอันควรที่จะงดโทษดังกล่าว จะดำเนินการโดยใช้วิธีการทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนก็ได้

2) ตัดเงินเดือน เป็นการลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้กระทำความผิดวินัยไม่ร้ายแรง การลงโทษตัดเงินเดือนเป็นจำนวนร้อยละของเงินเดือนและตัดเงินเดือนเป็นจำนวนกี่เดือน เช่น ตัดเงินเดือนร้อยละสี่  เป็นระยะเวลาสองเดือน เมื่อพ้นระยะเวลาสองเดือนแล้วก็จะได้รับเงินเดือนตามปกติ

3) ลดเงินเดือน เป็นการลงโทษข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้กระทำความผิดวินัยไม่ร้ายแรง การลงโทษโดยการลดเงินเดือนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้นั้นลงเป็นจำนวนร้อยละของเงินเดือนที่ได้รับ เช่น ลดเงินเดือนจำนวนร้อยละ 4

4) ปลดออกจากราชการ เป็นการลงโทษให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ที่กระทำความผิดอันเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงโดยให้พ้นจากราชการ แต่ข้าราชการผู้นั้นยังคงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญ จากทางราชการเป็นเสมือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้นั้นลาออกจากราชการหรือออกจากราชการตามปกติ

5) ไล่ออกจากราชการ เป็นการลงโทษให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ที่กระทำความผิดอันเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง โดยให้พ้นจากราชการ ซึ่งผู้นั้นจะไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญ จากทางราชการแต่อย่างใด การลงโทษไล่ออกจากราชการนั้นถือเป็นโทษที่ร้ายแรงและเป็นโทษในสถานที่หนักที่สุดของโทษทางวินัยข้าราชการพลเรือน ซึ่งอาจเปรียบโทษไล่ออกจากราชการนั้น เป็นเสมือนการประหารชีวิตทางราชการของข้าราชการผู้ที่ถูกลงโทษก็ว่าได้ ดังเช่น โทษประหารชีวิตตามกฎหมายอาญา

อำนาจดุลยพินิจของฝ่ายปกครอง คือ เสรีภาพในอันที่เลือก (Freedom of Choice) แต่ต้องมีเหตุผล อธิบายได้ การไร้เหตุผล คืออำเภอใจ

          หลักทั่วไปของการใช้ดุลยพินิจ

  1. ใช้ดุลยพินิจภายในขอบเขตแห่งเจตนารมณ์ของกฎหมาย
  2. ใช้ดุลยพินิจโดยแท้ คือ พิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน
  3. ใช้ดุลยพินิจโดยชอบด้วยเหตุผล
    • การใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยโดยชอบด้วยเหตุผล ต้องไม่ “ฝืน” ความเห็นของวิญญูชน หรือใช้ดุลยพินิจโดยปราศจากเหตุผลอันควรค่าแก่การรับฟัง
    • การใช้ดุลยพินิจตัดสินใจโดยชอบด้วยเหตุผล ตกอยู่ในบังคับของ “หลักความได้สัดส่วน” หรือ “หลักความพอสมควรแก่เหตุ” และ “การไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม”

อำนาจดุลยพินิจ  คือ กฎหมายเปิดโอกาสให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจในการเลือกตัดสินใจได้ เช่น       ในความผิดวินัยร้ายแรง ฝ่ายปกครองมีดุลยพินิจในการที่จะเลือกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการก็ได้ตามความร้ายแรงแห่งกรณีหรือในกรณีความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงฝ่ายปกครองมีดุลยพินิจในการเลือกลงโทษภาคทัณฑ์ หรือถ้ามีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษโดยทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้

กรณีการกระทำความผิดเล็กน้อย และเป็นความผิดครั้งแรก ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่ามีเหตุอันควรลงโทษจะงดโทษ โดยว่ากล่าวตักเตือน หรือให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือไว้ก่อนก็ได้ การว่ากล่าวตักเตือนหรือทำทัณฑ์บน ไม่ถือเป็นโทษทางวินัย ผู้บังคับบัญชาอาจเรียกมาตักเตือนมิให้กระทำความผิดเช่นนั้นอีก หรือให้พึงระมัดระวังโดยไม่ต้องทำเป็นหนังสือ แต่อาจมีการบันทึกหมายเหตุประจำวันของหน่วยงานหรือของผู้บังคับบัญชา แต่การทำทัณฑ์บนต้องทำเป็นหนังสือ

การลงโทษภาคทัณฑ์ ต้องทำเป็นคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ และเป็นโทษสำหรับกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควรลดหย่อนซึ่งยังไม่ถึงกับต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือน หรือในกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษภาคทัณฑ์ และให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ หรือทำการว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ สำหรับโทษภาคทัณฑ์ไม่ต้องห้ามการเลื่อนเงินเดือน ตามกฎ ก.ค.ศ. การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2561

 

ระเบียบและกฎหมาย

  1. ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา ๑๐๐

ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือนหรือลดขั้นเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้ เหมาะสมกับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สำหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อย หรือมีเหตุอันควรลดหย่อนซึ่งยังไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือน

ในกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ  จะงดโทษให้โดยให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้

การสั่งลงโทษตามวรรคหนึ่ง  ผู้บังคับบัญชาใดจะมีอำนาจสั่งลงโทษผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในสถานโทษใด ได้เพียงใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.

  1. กฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยอำนาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน  หรือลดเงินเดือน พ.ศ. 2561

ข้อ ๒ ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง  มีอำนาจ สั่งลงโทษได้  ดังต่อไปนี้

(๑) ภาคทัณฑ์

(๒) ตัดเงินเดือนได้ครั้งหนึ่งในอัตราร้อยละสองหรือร้อยละสี่ของเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับในวันที่

มีคำสั่งลงโทษเป็นเวลาหนึ่งเดือน  สองเดือน  หรือสามเดือน

ข้อ ๓ ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล  รัฐมนตรีเจ้าสังกัด  ปลัดกระทรวง เลขาธิการ  อธิบดีหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  อธิการบดีหรือตำแหน่งที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  ศึกษาธิการภาคหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  ศึกษาธิการจังหวัดหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  หรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า  ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง  มีอำนาจสั่งลงโทษได้  ดังต่อไปนี้

(๑) ภาคทัณฑ์

(๒) ตัดเงินเดือนได้ครั้งหนึ่งในอัตราร้อยละสองหรือร้อยละสี่ของเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับในวันที่ มีคำสั่งลงโทษเป็นเวลาหนึ่งเดือน  สองเดือน  หรือสามเดือน

(๓) ลดเงินเดือนได้ครั้งหนึ่งในอัตราร้อยละสองหรือร้อยละสี่ของเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับในวันที่ มีคำสั่งลงโทษ

  1. หนังสือสำนักงาน ก.ค. ที่ ศธ 1506 (สจว.)/ว 6 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2539 เรื่อง ซ้อมความเข้าใจแนวปฏิบัติในการดำเนินการทางวินัยข้าราชการครู

“ในกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อย และมีเหตุอันควรงดโทษจะงดโทษให้โดยทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ หรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้” จะเห็นได้ว่าตามเจตนารมณ์ของกฎหมายให้ทำหนังสือเฉพาะ กรณี       ทำทัณฑ์บนเท่านั้น ส่วนว่ากล่าวตักเตือนเจตนารมณ์มุ่งหมายที่จะให้ว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจา การว่ากล่าวตักเตือนไม่ใช่การลงโทษ จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ ไม่ต้องนำไปลงทะเบียนประวัติว่าเคยถูกลงโทษ ถ้าผู้บังคับบัญชาได้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นหนังสือแก่ข้าราชการครูผู้ใด และข้าราชการครูผู้นั้นไม่ลงนามรับทราบในหนังสือฉบับนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา

ลักษณะการกระทำความผิดวินัยเล็กน้อย และตัวอย่างที่ได้ดำเนินการลงโทษไปแล้ว

  1. ฐานความผิด “อาศัยหรือยินยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น” เช่น ละทิ้งหน้าที่ราชการไป 1 วัน อาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ควบคุมดูแลสมุดบัญชีการ ลงเวลามาปฏิบัติราชการ ทำการลงลายมือชื่อมาปฏิบัติราชการในวันดังกล่าว (โทษภาคทัณฑ์)
  2. ฐานความผิด “ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ” เช่น ไม่ระมัดระวังทำให้แบบพิมพ์สูญหายไป (โทษ

ภาคทัณฑ์)

  1. ฐานความผิด “ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา” เช่น ไม่ได้มาอยู่เวรในสำนักงาน เนื่องจากไปหามารดาซึ่ง

ป่วยหนักและไม่สามารถกลับมาอยู่เวรได้ทัน และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อสั่งการให้ผู้อื่นมาอยู่เวรแทนแต่อย่างใด (โทษภาคทัณฑ์)

  1. ฐานความผิด “ไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ” เช่น ขาดราชการโดยอ้างว่าป่วย โดยไม่มีใบรับรองแพทย์ประกอบการลาตามระเบียบ , ไม่ยื่นใบลาป่วยในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ หรือส่งใบลาป่วยล่าช้าโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (โทษภาคทัณฑ์)
  2. ฐานความผิด “ไม่สุภาพเรียบร้อย” เช่น กล่าวหาและตำหนิผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ด้วยถ้อยคำ ไม่สุภาพ , เกิดโทสะท้าทายลูกจ้างประจำ ออกไปชกต่อยข้างนอกสำนักงาน (โทษภาคทัณฑ์)
  3. ฐานความผิด “ประพฤติชั่วไม่ร้ายแรง ประพฤติตนไม่สำรวม” เช่น ไม่ชำระหนี้กู้ยืมตามคำสั่งศาล ถูกร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาจึงยินยอมชำระหนี้ (โทษภาคทัณฑ์)
  4. ฐานความผิด “ไม่ต้อนรับให้ความสะดวก ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้มาติดต่อราชการ” เช่น

ไม่ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อ โดยละเอียดและไม่ให้คำแนะนำที่ชัดเจนเพียงพอ เป็นเหตุให้ผู้มาติดต่อราชการจำต้องติดต่อหลายครั้ง (โทษภาคทัณฑ์)

  1. ฐานความผิด “กระทำหรือยอมให้ผู้อื่นกระทำการหาผลประโยชน์อันอาจทำให้ความเที่ยงธรรมหรือเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน” เช่น ร่วมกับบุคคลภายนอกอีก 2 คน ออกเงินกู้โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน ได้รับผลประโยชน์แล้วมาแบ่งกัน (โทษภาคทัณฑ์)

 

Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *